เป็นกำลังใจให้นะครับ น้องกีวี่
พี่ก็สะสมของไว้มากเหมือนกัน ทั้งเทปเพลง, วิดีโอเทป, หนังสือ และสมุดจดต่าง ๆ
ตั้งแต่ปี 1989 เป็นต้นมา เหมือนสิ่งของเหล่านี้มันบรรจุ
“ความทรงจำอันแสนสุขถึงชีวิตในอดีต” เอาไว้ด้วย มันคือส่วนหนึ่งของความทรงจำของเรา
ความสุขของเรา อดีตของเรา ตัวตนของเรา
ถึงแม้ตายไปเราจะเอาสิ่งของเหล่านี้ติดตัวเราไปไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว
แต่ตอนนี้เรายังไม่ตาย เราก็อยากที่จะเก็บรักษามันเอาไว้ให้ดีที่สุด
ชีวิตมนุษย์มันไม่แน่ไม่นอนจริง ๆ
ยังไงพี่ก็ขอเป็นกำลังใจให้น้องกีวี่นะครับ
มีเรื่องนึงอยากจะเล่าให้ฟัง
เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน คือในปี 2016 พี่เคยประสบอุบัติเหตุ
(น้องน่าจะจำได้) และอุบัติเหตุครั้งนั้นส่งผลให้พี่สูญเสียเงินเก็บไปจนเกือบหมด
เรียกได้ว่าแทบหมดตัวเลย เงินเก็บที่สะสมมาตลอดชีวิต 43 ปีหายไปราว 90% ตอนนั้นเหลือเงินติดตัวอยู่เพียงแค่ไม่กี่บาท ตอนนั้นพี่ก็คิดที่จะฆ่าตัวตายอยู่ทุกวัน
เพราะรู้สึกสิ้นหวังกับชีวิต และก็คิดไม่ออกถึง “อนาคต” ของตัวเอง
ว่าจะอยู่รอดไปจนแก่ได้อย่างไร แต่พี่ก็ใช้พลังทางจินตนาการของตัวเอง ในการคุยกับ
“ลูกหมี” หรือตุ๊กตาหมีของตัวเองไปเรื่อย ๆ พี่จินตนาการว่า “ลูกหมี” คุยกับพี่ว่า
“แม่หมีไม่ต้องคิดไปถึงอนาคตในอีกหลายปีข้างหน้า แค่มีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 1
วันก็พอแล้ว ถ้ามันไม่ไหวจริง ๆ สามทุ่มวันพรุ่งนี้แม่หมีค่อยตัดสินใจฆ่าตัวตายนะครับ”
แล้วพี่ก็เลยทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ในช่วงนั้น
คือเลิกคิดวางแผนถึงอนาคตหลายปีข้างหน้า แค่อยู่ต่อไปก่อนอีก 1 วัน แล้วพอสามทุ่มของแต่ละวันค่อยตัดสินใจว่าจะฆ่าตัวตายดีมั้ย
แล้วพอพี่ใช้วิธีแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็เลยเหมือนเลื่อนเวลาฆ่าตัวตายออกไปเรื่อย ๆ
ทีละวัน ทีละวัน และก็เลยมีชีวิตรอดจากปี 2016 จนมาถึงปี 2025 ได้ในที่สุด ซึ่งพี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีหรือเปล่า
เพราะพี่ก็อาจจะยังฆ่าตัวตายในอนาคตได้ทุกเมื่อ
แต่ยังไงวันนี้ก็ขอกอดลูกหมีต่อไปอีก 1 วันก่อนก็แล้วกันนะ
เป็นกำลังใจให้น้องกีวี่นะครับ
ชีวิตคนเรามันเต็มไปด้วยความทุกข์จริง ๆ แต่ยังไงวันนี้เราก็ขอมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างดีที่สุดเท่าที่จะพอทำได้ก่อนก็แล้วกัน
+++
รวมประสบการณ์ในโรงหนัง
1. คู่ตัวเหี้ยแห่งเอสพลานาด รัชดา
ที่โรงหนังเอสพลานาด รัชดา เรามักจะเจอผู้ชายวัยกลางคนคู่หนึ่ง
ที่มักจะมานั่งตรงที่นั่งแถวที่ยืดขาได้ยาว ๆ ซึ่งที่นั่งแถวนั้นมักจะอยู่ค่อนไปทางด้านหน้าของโรง
ประมาณแถวที่ 5 ถัดจากจอ แล้วผู้ชายคู่นี้มักจะคุยกันเสียงดังตลอดทั้งเรื่อง
ซึ่งสิ่งนี้มันสร้างปัญหาให้กับเรา
เพราะถึงแม้ว่าเราจะหนีไปนั่งด้านหน้า ๆ ของโรง เสียงของพวกเขาก็ดังตามมารบกวนเราได้อยู่ดี
เพราะพวกเขาก็นั่งในแถวที่ไม่ห่างจากเราเท่าไหร่
เพราะฉะนั้นเวลาเราเจอคนจองที่นั่งแบบที่เราติ๊กถูกในรูปนี้ที่เอสพลานาด
รัชดา เราก็จะหนีพวกเขาโดยการจองมาที่นั่งแถวบน ๆ แทน จะได้ห่างจากที่นั่งของคู่ตัวเหี้ยคู่นี้
2. หนังฟรี = แหล่งแพร่โรคระบาด
เราป่วยเป็นคออักเสบตั้งแต่วันศุกร์ 28 พ.ย.
ทรมานมาก ต้องขากเสมหะทุกชั่วโมง แต่ตรวจแล้วไม่ได้เป็นโควิด
เราไม่รู้แน่ชัดว่าเราติดโรคคออักเสบมาจากใคร
แต่ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งก็คือผู้ชายที่นั่งติดเราในวันศุกร์ที่ 21 พ.ย.
ตอนที่เราดูหนังฟรีเรื่อง PARTHENOPE (2024, Paolo Sorrentino, Italy,
A+30) ที่โรงหนัง HOUSE SAMYAN เพราะผู้ชายคนนี้ไออย่างรุนแรงหนักมากตลอดเวลา
จนเราสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นวัณโรค แล้วพอหนังผ่านไปครึ่งเรื่อง เราก็ทนไม่ไหว
เราก็เลยลุกหนีจากที่นั่งของเราที่อยู่ตรงกลางแถว เพื่อหนีไปนั่งแถวหน้า ๆ
ติดจอภาพยนตร์แทน เพราะแถวหน้า ๆ มีที่นั่งว่างอยู่
คือเราใส่ mask ตลอดเวลาที่ดูหนังเรื่องนี้นะ
แต่ก็คิดว่า MASK ของเราอาจจะกันโรคไม่ได้ 100% และเราก็นั่งติดเขาไปนานราว 50 นาทีในช่วงแรกของหนัง เพราะฉะนั้นมันก็มีความเป็นไปได้ที่เราอาจจะติดเชื้อโรคมาจากเขา
คือเวลาที่เราดู “หนังฟรีในเทศกาลหนัง” ต่าง ๆ
เราเลือกที่นั่งเองไม่ได้น่ะ คือถ้าหากเราเลือกที่นั่งเอง เราก็มักจะเลือกที่นั่งที่
“ห่างไกลจากมนุษย์คนอื่น ๆ ให้มากที่สุด” อยู่แล้ว ตามที่เพื่อน ๆ ของเราคงคุ้นเคยกันดี
แต่พอมันเป็นเทศกาลหนังที่แจกตั๋วฟรี เราเลือกที่นั่งเองไม่ได้
เขาแจกตั๋วที่นั่งใบไหนมาให้เรา เราก็มักจะต้องนั่งตามที่นั่งนั้น
โดยเฉพาะในกรณีที่ตั๋วมันเต็ม มีคนนั่งกันเต็มโรง เราจะแอบหนีไปนั่งแถวหน้า ๆ ติดจอได้ก็ต่อเมื่อเรามั่นใจว่าที่นั่งแถวหน้า
ๆ มันไม่มีคนจริง ๆ
เพราะฉะนั้นการไปดูหนังในเทศกาลหนังฟรีมันก็เลยเสี่ยงดวงอย่างรุนแรงมาก
เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะได้ที่นั่งติดกับใคร คนที่นั่งติดเราเขาอาจจะเป็นหนุ่มหล่อจากสวีเดน
หรือว่าอาจจะเป็นผู้ป่วยโรคไข้กาฬหลังแอ่น ไข้อีดำอีแดง เราก็มิอาจจะรู้ล่วงหน้าได้
ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็เคยหีแตกมาแล้วกับเทศกาลหนังอิตาลีที่แจกตั๋วฟรีในเดือนพ.ค.ปีนี้
เพราะพอหลังจบเทศกาลหนังอิตาลีในช่วงต้นเดือนพ.ค. เราก็ป่วยเป็นโควิดเลย
ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจหรอกว่าเราติดโรคโควิดมาจากผู้ชมในเทศกาลนั้นหรือเปล่า
แต่มันก็มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ถ้าหากเจอเทศกาลหนังฟรีอีก
เราก็คงต้องคิดหนักมากยิ่งขึ้นว่าจะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงดูหนังในเทศกาลเหล่านี้ดีไหม