เพนกวิน
เพนกวิน ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: พาลีโอซีน-ปัจจุบัน 62–0Ma [1] | |
---|---|
เพนกวินฮัมโบลด์ (Spheniscus humboldti) เป็นเพนกวินชนิดหนึ่งที่อยู่ในสกุล Spheniscus | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ไฟลัมย่อย: | Vertebrata |
ไม่ได้จัดลำดับ: | Archosauria |
ชั้น: | Aves |
อันดับ: | Sphenisciformes Sharpe, 1891 |
วงศ์: | Spheniscidae Bonaparte, 1831 |
สกุล | |
แผนที่แสดงการกระจายพันธุ์ของเพนกวิน (สีฟ้า) |
เพนกวิน (อังกฤษ: penguin) เป็นนกที่อยู่ในวงศ์ Spheniscidae อันดับ Sphenisciformes[2] เพนกวินเกือบทุกชนิดพบได้เฉพาะที่ซีกโลกใต้ มีเพียงสายพันธุ์เดียวเท่านั้นคือ เพนกวินกาลาปาโกส ซึ่งพบได้ทางเหนือของเส้นศูนย์สูตร
เพนกวินสามารถปรับให้เข้ากับชีวิตในน้ำได้เป็นอย่างดี มีลักษะเด่นคือขนสีขาวดำและปีกที่มีลักษณะคล้ายครีบเพื่อใช้ว่ายน้ำ เพนกวินส่วนใหญ่กินกุ้ง ปลา ปลาหมึก และสัตว์ทะเลขนาดเล็กอื่น ๆ เป็นอาหารโดยพวกมันมักหาอาหารได้ขณะว่ายน้ำอยู่ใต้น้ำ[3] เพนกวินใช้เวลาประมาณครึ่งชีวิตอยู่บนบกและอีกครึ่งหนึ่งอยู่ในทะเล แม้ว่าเพนกวินเกือบทุกชนิดจะมีถิ่นกำเนิดในซีกโลกใต้ แต่ในปัจจุบันไม่ได้พบเฉพาะในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น เช่น แอนตาร์กติกา เท่านั้นโดยยังมีอีกหลายชนิดที่อาศัยในเขตอบอุ่น
เพนกวินสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือเพนกวินจักรพรรดิซึ่งเมื่อตัวเต็มวัยจะสูงประมาณ 1.1 เมตร (3 ฟุต 7 นิ้ว) และหนัก 35 กิโลกรัม (77 ปอนด์)[4] ในขณะที่สายพันธุ์ที่เล็กที่สุดคือเพนกวินน้อยหรือที่รู้จักในชื่อเพนกวินนางฟ้าซึ่งสูงประมาณ 33 เซนติเมตร (13 นิ้ว) และหนักเพียง 1 กิโลกรัม (2.2 ปอนด์)[5] โดยทั่วไปแล้ว เพนกวินขนาดใหญ่มักอาศัยอยู่บริเวณที่เย็นกว่า และเพนกวินที่มีขนาดเล็กกว่าจะอาศัยอยู่บริเวณที่มีภูมิอากาศอบอุ่นหรือเขตร้อน เชื่อกันว่าเพนกวินยุคก่อนประวัติศาสตร์บางสายพันธุ์มีขนาดมหึมาโดยมีความสูงหรือน้ำหนักเท่ากับมนุษย์ที่โตเต็มวัยเลยทีเดียว
ศัพทมูลวิทยา
[แก้]โดยชื่อ "เพนกวิน" แท้ที่จริงแล้วเดิมทีจะถูกใช้เป็นชื่อเรียกนกขนาดใหญ่ที่บินไม่ได้ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว คือ นกออคใหญ่ ซึ่งมีสภาพเหมือนกับเพนกวิน คือ บินไม่ได้และมีขนสีขาวดำ[6]
ลักษณะและพฤติกรรม
[แก้]เพนกวินมีถิ่นอาศัยอยู่บริเวณซีกโลกทางใต้หรือขั้วโลกใต้ เป็นนกที่บินไม่ได้ เนื่องจากมีโมเลกุลกระดูกที่หนาแน่นผิดจากนกทั่วไป[6] มีลักษณะเด่นคือ มีขนสีดำที่ด้านหลัง และขนสีขาวที่ด้านหน้าท้อง ซึ่งช่วยป้องกันเพนกวินจากสัตว์นักล่าต่าง ๆ เวลาว่ายน้ำ ปีกของเพนกวินมีลักษณะคล้ายครีบปลา ช่วยในการว่ายน้ำ แต่ไม่สามารถใช้ปีกในการบินเหมือนนกทั่วไป เพนกวินไม่สามารถหายใจในน้ำได้แต่สามารถกลั้นหายใจได้นานมากในน้ำ ร้อยละ 75 ของชีวิตเพนกวินจะอาศัยในน้ำ เพนกวินสามารถว่ายน้ำได้เร็วเฉลี่ยประมาณ 22–24 กิโลเมตร/ชั่วโมง และสามารถดำน้ำได้ลึกถึง 250 เมตร ตีนของเพนกวินเป็นพังผืดเหมือนตีนเป็ด ใช้ได้ดีเวลาว่ายน้ำหรือดำน้ำ แต่เมื่อเดินบนบกแล้ว เพนกวินจะเดินตัวตรง[7] แต่จะทำให้เดินอย่างช้า ๆ ซึ่งเพนกวินมีวิธีการเคลื่อนที่บนบกที่เร็วกว่าและใช้ได้ผลดีกว่าการเดิน นั่นคือ การไถลตัวไปตามทางลาดชันหรือพื้นที่ลื่นเป็นน้ำแข็ง [8]
เพนกวินออกลูกเป็นไข่ เมื่อเพนกวินตัวเมียออกลูกจะให้ตัวผู้กกไข่ ส่วนตัวเมียจะออกไปหาอาหาร ซึ่งได้แก่ ปลา, ครัสเตเชียน หรือหมึก ลูกเพนกวินแรกเกิดจะมีขนสีเทา เมื่อโตขึ้นขนสีเทาจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีดำที่ด้านหลัง และขนสีขาวที่ด้านหน้าท้อง เพนกวินจะมีพฤติกรรมการทำรังที่ต่างออกไปตามแต่ละชนิด บางชนิดทำรังใกล้ทะเล แต่บางชนิดทำรังในป่ามะเลาะ[9] หรือพื้นที่ในชุมชนของมนุษย์ เช่น ใต้ถุนบ้าน หรือในสวนหลังบ้าน ก็มี[7] เพนกวินทุกชนิดจะอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีอากาศหนาว ทำให้เพนกวินต้องมีชั้นไขมันที่หนาเพื่อช่วยในการกักเก็บความร้อนจากร่างกาย และร่างกายมีการปรับอุณหภูมิอยู่เสมอ โดยมีระบบหมุนเวียนเลือดที่มีประสิทธิภาพ[6] รวมถึงชั้นไขมันนี้ยังใช้เป็นพลังงานอาหารในช่วงที่คลาดแคลน ขนของเพนกวินมี 2 ชั้น ชั้นในทำหน้าที่เหมือนขนของนกทั่วไป ส่วนชั้นนอกจะมีไขมันเคลือบไว้ เพื่อป้องกันน้ำ ความหนาวเย็น และลมหนาวจากภายนอก เพนกวินจะผลัดขนปีละครั้ง ขนที่เก่าและเสียหายจะหลุดออก และขนใหม่จะขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระเวลาแค่ไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งถือว่าเร็วมาก เมื่อเทียบกับนกทั่วไปซึ่งใช้เวลานานกว่านั้นมาก (โดยเฉลี่ยเกือบปี) หากแต่เพนกวินในช่วงผลัดขนนี้จะมีสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปจนแทบจำไม่ได้ และจะไม่เข้าใกล้น้ำหรือว่ายน้ำเลย นอกจากนี้แล้วเพนกวินยังมีอวัยวะที่ทำงานได้อย่างพิเศษไม่เหมือนกับนกหรือสัตว์โลกทั่วไป ที่สามารถตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนได้ถึงระดับโซเดียมในเลือดหากจะมีมากเกินไป อันเนื่องจากเป็นนกที่กินอาหารทะเลเป็นหลัก ซึ่งการทำงานนี้ของอวัยวะอันนี้ นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ [6]
เพนกวิน มีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 15–20 ปี แต่บางชนิดก็อาจมีอายุที่ยาวกว่านั้น[10] ทุกชนิดจะอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่คล้ายนิคม ในบางครั้งอาจมีการรวมฝูงกันมากถึงจำนวนนับแสนหรือล้านตัว เพนกวินเป็นนกที่บินไม่ได้ แต่สามารถว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่วและรวดเร็วมาก ซึ่งเพนกวินจะตกเป็นอาหารของสัตว์ล่าเหยื่อขนาดใหญ่ เช่น วาฬออร์กา, แมวน้ำเสือดาว หรือ นกจมูกหลอดยักษ์ เป็นต้น[11]
เพนกวิน เป็นนกที่แพร่ขยายพันธุ์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งตรงกับปลายปีของเวลาในซีกโลกใต้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อากาศยังอบอุ่นและยังหาอาหารกินได้ เพนกวินจะออกไข่และฟักให้เป็นตัวในช่วงนี้ และจะเร่งเลี้ยงดูลูกให้เติบโตอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันฤดูหนาว ซึ่งเป็นฤดูที่ทั้งพื้นดินและทะเลในซีกโลกทางใต้เป็นน้ำแข็งทั้งหมด และเป็นฤดูกาลที่ยาวนานมาก เพนกวินบางชนิด อย่างเพนกวินจักรพรรดิ (Aptenodytes forsteri) ซึ่งเป็นเพนกวินชนิดที่ใหญ่ที่สุด ในเพศผู้อาจมีน้ำหนักตัวมากได้ถึง 40 กิโลกรัม ซึ่งเป็นการเตรียมตัวสำรองพลังงานอาหารไว้เพื่อรอรับกับฤดูหนาว[8]
การผสมพันธุ์
นอกจากนี้แล้ว ยังมีข้อมูลจากการบันทึกโดยนักสำรวจขั้วโลกใต้ชาวอังกฤษในปี ค.ศ. 1910 ที่ศึกษาถึงพฤติกรรมเพนกวินที่อาเดลีแลนด์ พบว่า มีพฤติกรรมทางเพศที่แปลกประหลาดมาก โดยมีการพบการรักร่วมเพศ, การข่มขืน, การผสมพันธุ์โดยไม่หวังการสืบพันธุ์ รวมถึงการผสมพันธุ์กับซากเพนกวินเพศเมียที่ตายไปนานแล้วด้วย [12]
เหตุที่เพนกวินไม่สามารถบินได้ ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นเพราะความสามารถที่ดีในการว่ายน้ำและดำน้ำ จึงทำให้ปีกของเพนกวินไม่สามารถใช้ในการบินได้ เพราะการว่ายน้ำและดำน้ำใช้พลังงานที่น้อยกว่า ความสามารถในการบินก็ค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ ทั้งนี้เป็นผลมาจากการวิจัยจากนกทะเลชนิดอื่นที่มีสายพันธุ์ใกล้เคียงกับเพนกวินมากที่สุด เช่น นกทะเลปากยาว[13]
วิวัฒนาการ
[แก้]บรรพบุรุษของเพนกวิน เป็นนกที่ปีกไม่สามารถบินได้ แต่กลับว่ายน้ำได้คล่องแคล่วที่มีชื่อว่า "ไวมานู" ที่มีชีวิตอยู่ในยุคพาลีโอซีน ประมาณ 62 ล้านปีก่อน ซึ่งฟอสซิลของไวมานู ปัจจุบันพบได้ที่นิวซีแลนด์ ไวมานูมีรูปร่างที่เพรียวยาวแตกต่างจากเพนกวินในปัจจุบันมาก[1]
โดยเพนกวินที่มีขนาดใหญ่ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว เช่น Kumimanu biceae มีความสูงประมาณ 1.77 เมตร น้ำหนัก 101 กิโลกรัม มีชีวิตอยู่ราว 50–60 ล้านปีก่อน และเชื่อว่ามีขนสีน้ำตาลซึ่งต่างจากเพนกวินทั่วไปในปัจจุบัน และมีจะงอยปากยื่นยาวกว่า พบโครงกระดูกที่นิวซีแลนด์เมื่อปี ค.ศ.2017 แต่เพนกวินที่ใหญ่ที่สุดที่เคยพบมาคือ Palaeeudyptes klekowskii มีความสูงถึง 2 เมตร น้ำหนักไม่น้อยกว่า 115 กิโลกรัม ค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 2014[14]
สำหรับเพนกวินในยุคปัจจุบัน เป็นนกที่ถือกำเนิดมานานกว่า 40 ล้านปีก่อน จากการศึกษาไมโตคอนเดรียและดีเอ็นเอพบว่า เพนกวินสกุล Aptenodytes ซึ่งเป็นเพนกวินชนิดที่ใหญ่ที่สุด เป็นต้นสายพันธุ์ของเพนกวินทั้งหมดในปัจจุบัน ก่อนที่แต่ละสกุลหรือชนิดจะแยกสายวิวัฒนาการของตัวเองขึ้นมา[15][16]
การจำแนก
[แก้]แบ่งออกได้เป็น 6 สกุล ได้แก่
- Aptenodytes Miller, 1778
- Eudyptes Vieillot, 1816
- Eudyptula Bonaparte, 1856
- Megadyptes Milne-Edwards, 1880
- Pygoscelis Wagler, 1832
- Spheniscus Brisson, 1760
และแบ่งออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ประมาณ 19 ชนิด[2] หรือ 20 ชนิด[10]
และมีที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์อีกหลายสกุลและหลายชนิด (ประมาณ 40 ชนิด[10])
ความสัมพันธ์กับมนุษย์
[แก้]เพนกวินเป็นนกที่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ในด้านต่าง ๆ มากมาย ในอดีตเป็นนกที่มนุษย์ล่าเพื่อเอาเนื้อมาบริโภค[10] แต่ในปัจจุบันเป็นสัตว์ที่เลี้ยงไว้แสดงตามสวนสัตว์หรือสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำต่าง ๆ ทั่วโลก (โดยมากจะเป็นเพนกวินฮัมโบลด์) โดยสถานที่เลี้ยงเพนกวินที่มีจำนวนมากที่สุด คือ โตเกียวซีไลฟ์ปาร์ค ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น[17]
และถึงถูกอ้างอิงถึงในสัญลักษณ์หรือวัฒนธรรมร่วมสมัยต่าง ๆ เช่น เป็นสัญลักษณ์ของลีนุกซ์, เป็นตัวละครฝ่ายร้ายในการ์ตูนชุด Batman ของดีซี คอมิคส์ ที่ชื่อ Penguin ที่มีต้นแบบมาจากเพนกวินจักรพรรดิ เป็นต้น[18]
รูปภาพ
[แก้]-
นิคมของเพนกวินอะเดลี่ (Pygoscelis adeliae)
-
การไถลตัวไปกับพื้นน้ำแข็งของเพนกวิน
-
คู่เพนกวินจักรพรรดิกับลูกที่ยังโตไม่เต็มที่
-
การฟักไข่ของเพนกวินอะเดลี่ตัวผู้
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 New Zealand ดินแดนแห่งนก, "Mutant Planet" ทางแอนิมอลแพลนเน็ต. สารคดีทางทรูวิชั่นส์: เสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2555
- ↑ 2.0 2.1 "Spheniscidae". ระบบข้อมูลการจำแนกพันธุ์แบบบูรณาการ.
- ↑ https://seaworld.org/animals/all-about/penguins/diet-and-eating-habits/
- ↑ DK (September 6, 2016). Animal!. Penguin. ISBN 9781465459008.
- ↑ https://web.archive.org/web/20111216162812/http://mesh.biology.washington.edu/penguinProject/Little
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 จุดประกาย 7 WILD, 19 ความน่ารักของเพนกวิน. กรุงเทพธุรกิจปีที่ 29 ฉบับที่ 10421: วันอังคารที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2560
- ↑ 7.0 7.1 "ไปดูจิงโจ้ที่เกาะแกงกา/ ไปดูจิงโจ้ที่เกาะแกงการู". passportidea. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-08-31. สืบค้นเมื่อ 2013-07-20.
- ↑ 8.0 8.1 ฤดูใบไม้ร่วง, สุดยอดสารคดีโลก: "อัศจรรย์โลกน้ำแข็ง (Frozen Planet) " ทางไทยพีบีเอส: พฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม 2556
- ↑ "นกเพนกวินฮัมโบลด์ (นกเพนกวินเปรูเวียน)". หมูหินดอตคอม. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-02-24. สืบค้นเมื่อ 2013-07-20.
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 "About Penguins". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-31. สืบค้นเมื่อ 2013-07-20.
- ↑ "นกเพนกวิน-penguin เพนกวิน". prapot.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "เปิดบันทึกลับข้ามศตวรรษพฤติกรรม "เซ็กซ์วิปริต" ในเพนกวิน". ผู้จัดการออนไลน์. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-06-20. สืบค้นเมื่อ 2013-07-20.
- ↑ "นักวิจัยไขปริศนาทำไมเพนกวินจึงบินไม่ได้สำเร็จแล้ว/ นักวิจัยไขปริศนา"ทำไมเพนกวินจึงบินไม่ได้?"สำเร็จแล้ว". สนุกดอตคอม.
- ↑ หน้า 7 วิทยาการ-เกษตร, เพนกวินยักษ์โบราณเคยมีขนาดเท่ามนุษย์. "โลกโศภิณ". ไทยรัฐปีที่ 68 ฉบับที่ 21882: วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 2 ปีระกา
- ↑ Baker AJ, Pereira SL, Haddrath OP, Edge KA (2006). "Multiple gene evidence for expansion of extant penguins out of Antarctica due to global cooling". Proc Biol Sci. 273 (1582): 11–17. doi:10.1098/rspb.2005.3260. PMC 1560011. PMID 16519228.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Ksepka, D. T. B., Sara; Giannini, Norberto P; (2006). "The phylogeny of the living and fossil Sphenisciformes (penguins)". Cladistics. 22 (5): 412–441. doi:10.1111/j.1096-0031.2006.00116.x.
{{cite journal}}
: CS1 maint: extra punctuation (ลิงก์) CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ วรเทพ มุธุวรรณ ดร., เดินเที่ยว Tokyo Sea Life Park ณ ประเทศญี่ปุ่น 1 และ2 คอลัมน์ "Blue Planet". นิตยสาร Aquarium Biz ฉบับที่ 25 และ 26 ปีที่ 2: กรกฎาคม-สิงหาคม 2012
- ↑ "The Enemies List". Comics 101. January 14, 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-06. สืบค้นเมื่อ December 25, 2010.