การชำระเงินด้วยบัตรโดยใช้ Apple Pay
Apple Pay สามารถใช้เพื่อชำระเงินสำหรับสินค้าที่ซื้อในร้าน ภายในแอป และในเว็บไซต์ได้
การชำระเงินด้วยบัตรในร้าน
ถ้า iPhone หรือ Apple Watch เปิดอยู่และตรวจพบพื้นที่ NFC และถ้ากระเป๋าสตางค์ถูกตั้งค่าเป็นแอปชำระเงินและแอปไร้การสัมผัสเริ่มต้น อุปกรณ์จะแสดงให้ผู้ใช้เห็นบัตรที่ร้องขอ (หากการเลือกอัตโนมัติเปิดใช้อยู่สำหรับบัตรนั้น) หรือบัตรเริ่มต้นจากกระเป๋าสตางค์ (ซึ่งจัดการได้ในการตั้งค่า) ผู้ใช้ยังสามารถไปที่กระเป๋าสตางค์ แล้วเลือกบัตรได้ หรือเมื่ออุปกรณ์ล็อคอยู่ผู้ใช้ก็สามารถ:
- กดปุ่มด้านข้างสองครั้งบนอุปกรณ์ที่มี Face ID (หากกระเป๋าสตางค์เป็นแอปเริ่มต้น) 
- กดปุ่มโฮมสองครั้งบนอุปกรณ์ที่มี Touch ID (หากกระเป๋าสตางค์เป็นแอปเริ่มต้น) 
- การใช้คุณสมบัติการช่วยการเข้าถึงที่อนุญาตให้เข้าถึง Apple Pay จากหน้าจอที่ล็อคอยู่ 
จากนั้น ก่อนที่จะส่งข้อมูล ผู้ใช้จะต้องยืนยันความตั้งใจในการชำระเงินและตรวจสอบสิทธิ์ของตนเองโดยใช้วิธีใดวิธีหนึ่งต่อไปนี้:
- การตรวจสอบสิทธิ์ด้วยมิติทางกายภาพ 
- รหัสหรือรหัสผ่านของอุปกรณ์ 
- การกดสองครั้งที่ปุ่มด้านข้างของ Apple Watch ที่ปลดล็อคอยู่ 
ระบบจะไม่ส่งข้อมูลการชำระเงินใดๆ โดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ใช้
หลังจากตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ใช้แล้ว หมายเลขบัญชีอุปกรณ์และรหัสความปลอดภัยที่ไม่ซ้ำกันจะถูกใช้เพื่อประมวลผลการชำระเงิน ทั้ง Apple และอุปกรณ์ของผู้ใช้จะไม่แชร์หมายเลขบัตรแบบเต็มกับผู้ประกอบการ ทั้งนี้ Apple อาจได้รับข้อมูลที่ไม่ระบุตัวตน เช่น เวลาและสถานที่ของรายการธุรกรรม ข้อมูลนี้จะช่วยปรับปรุง Apple Pay และบริการอื่นๆ ของ Apple
การชำระเงินด้วยบัตรภายในแอป
Apple Pay ยังสามารถใช้เพื่อชำระเงินในแอป iOS, iPadOS, macOS, watchOS และ visionOS ได้อีกด้วย เมื่อผู้ใช้ชำระเงินในแอปโดยใช้ Apple Pay ทาง Apple จะได้รับข้อมูลธุรกรรมที่เข้ารหัสเพื่อส่งไปยังนักพัฒนาหรือผู้ประกอบการที่ผู้ใช้ชำระเงิน ก่อนที่ข้อมูลจะถูกส่งไปยังนักพัฒนาหรือผู้ประกอบการ Apple จะเข้ารหัสรายการธุรกรรมนั้นอีกครั้งด้วยกุญแจที่ใช้สำหรับนักพัฒนาโดยเฉพาะ วิธีนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะมีเพียงนักพัฒนาที่ได้รับอนุญาตที่มีคู่กุญแจเท่านั้นที่จะถอดรหัสข้อมูลได้ Apple Pay จะเก็บข้อมูลรายการธุรกรรมที่ไม่ระบุชื่อ เช่น ยอดซื้อโดยประมาณ ข้อมูลนี้ไม่สามารถผูกกับผู้ใช้ได้ และไม่รวมข้อมูลรายการที่ผู้ใช้ซื้อ
นอกจากการใช้ Apple Pay ในร้านค้าแล้ว Apple Pay ยังใช้ได้ในแอป iOS, iPadOS, macOS, watchOS และ visionOS อีกด้วย เมื่อผู้ใช้ชำระเงินในแอป Apple จะได้รับข้อมูลรายการธุรกรรมที่เข้ารหัส จากนั้น Apple จะส่งข้อมูลนี้ไปยังนักพัฒนาหรือผู้ประกอบการที่ถูกต้อง ก่อนการดำเนินการนี้ Apple จะเข้ารหัสข้อมูลอีกครั้งด้วยกุญแจเฉพาะสำหรับนักพัฒนา วิธีนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีเพียงนักพัฒนาที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ Apple Pay จะเก็บข้อมูลแบบไม่ระบุตัวตน เช่น จำนวนการซื้อ แต่ข้อมูลนี้จะไม่เชื่อมโยงกับผู้ใช้และจะไม่เปิดเผยสิ่งที่พวกเขาซื้อ
เมื่อแอปเริ่มต้นธุรกรรมการชำระเงิน Apple Pay เซิร์ฟเวอร์ Apple Pay จะได้รับรายการธุรกรรมที่เข้ารหัสจากอุปกรณ์ก่อนที่ผู้ประกอบการจะได้รับ จากนั้นเซิร์ฟเวอร์ Apple Pay จะเข้ารหัสรายการธุรกรรมอีกครั้งโดยใช้กุญแจสำหรับผู้ประกอบการโดยเฉพาะก่อนที่จะส่งธุรกรรมต่อไปให้ผู้ประกอบการ
เมื่อแอปร้องขอการชำระเงิน แอปจะเรียกไปยัง API เพื่อระบุว่าอุปกรณ์รองรับ Apple Pay หรือไม่ และผู้ใช้มีบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตที่สามารถชำระเงินบนเครือข่ายการชำระเงินที่ผู้ประกอบการยอมรับหรือไม่ แอปจะร้องขอข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้เพื่อประมวลผลและทำรายการธุรกรรมให้สมบูรณ์ เช่น ที่อยู่การเรียกเก็บเงินและที่อยู่จัดส่ง และข้อมูลติดต่อ จากนั้นแอปจะขอให้ iOS, iPadOS, macOS, watchOS หรือ visionOS แสดง Apple Pay จากนั้นแผ่นงานนี้จะขอข้อมูลสำหรับแอปและข้อมูลที่จำเป็นอื่นๆ เช่น บัตรที่จะใช้
ในตอนนี้ แอปจะได้รับข้อมูลเมือง รัฐ และรหัสไปรษณีย์เพื่อคำนวณค่าจัดส่งสุดท้าย แอปจะไม่ให้ข้อมูลที่ร้องขอแบบครบชุดจนกว่าผู้ใช้จะอนุมัติการชำระเงินโดยใช้วิธีใดวิธีหนึ่งต่อไปนี้:
- การตรวจสอบสิทธิ์ด้วยมิติทางกายภาพ 
- รหัสหรือรหัสผ่านของอุปกรณ์ 
- การกดสองครั้งที่ปุ่มด้านข้างของ Apple Watch ที่ปลดล็อคอยู่ 
หลังจากการชำระเงินได้รับอนุญาตแล้ว ข้อมูลที่แสดงในหน้า Apple Pay จะถูกถ่ายโอนไปยังผู้ประกอบการ
การชำระเงินด้วยบัตรภายในแอปคลิป
แอปคลิปคือส่วนเล็กๆ ของแอปที่ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้อย่างรวดเร็ว (เช่น เช่าจักรยานหรือชำระเงินค่าจอดรถ) โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอปเต็ม ถ้าแอปคลิปรองรับการชำระเงิน ผู้ใช้สามารถใช้การลงชื่อเข้าด้วย Apple (หากกำหนดค่าโดยนักพัฒนาแอป) แล้วชำระเงินโดยใช้ Apple Pay ได้ หลังจากผู้ใช้ชำระเงินจากภายในแอปคลิปแล้ว มาตรการความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวทั้งหมดจะเหมือนกับกรณีที่ผู้ใช้ชำระเงินภายในแอป
วิธีที่ผู้ใช้อนุญาตและผู้ประกอบการตรวจสอบยืนยันการชำระเงินผ่านแอป
ผู้ใช้และผู้ประกอบการจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าการชำระเงินผ่านแอปเป็นไปอย่างปลอดภัยโดยส่งผ่านข้อมูลไปที่เซิร์ฟเวอร์ Apple Pay, Secure Element, อุปกรณ์ และ API ของแอป ขั้นแรก ผู้ใช้จะอนุญาตการชำระเงินผ่านแอป จากนั้น แอปจะขอรับค่าป้องกันการเล่นซ้ำแบบเข้ารหัสจากเซิร์ฟเวอร์ Apple Pay เซิร์ฟเวอร์จะส่งค่านี้และข้อมูลธุรกรรมอื่นๆ ไปยัง Secure Element ซึ่งจะสร้างข้อมูลประจำตัวการชำระเงิน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เข้ารหัสด้วยกุญแจของ Apple จากนั้น Secure Element จะส่งกลับข้อมูลประจำตัวการชำระเงินไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Apple Pay เพื่อให้เซิร์ฟเวอร์ถอดรหัส ตรวจสอบยืนยันค่าป้องกันการเล่นซ้ำกับค่าป้องกันการเล่นซ้ำที่เซิร์ฟเวอร์ Apple Pay ส่งมาแต่แรก และเข้ารหัสข้อมูลอีกครั้งด้วยกุญแจของผู้ประกอบการ จากนั้นเซิร์ฟเวอร์จะส่งกลับการชำระเงินไปยังอุปกรณ์ ซึ่งจะส่งกลับไปที่ API ของแอป แล้ว API จะส่งต่อไปยังระบบผู้ประกอบการเพื่อประมวลผล ขั้นสุดท้าย ผู้ประกอบการจะตรวจสอบยืนยันข้อมูลประจำตัวการชำระเงินเพื่อยืนยันรายการธุรกรรม
API ต้องใช้สิทธิ์ ID ของผู้ประกอบการที่ระบุ ID ของผู้ประกอบการที่รองรับ แอปยังสามารถรวมข้อมูลเพิ่มเติม (เช่น หมายเลขคำสั่งซื้อหรือข้อมูลประจำตัวลูกค้า) เพื่อส่งไปที่ Secure Element ให้ลงชื่อ ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกรรมไม่สามารถเบี่ยงเบนไปที่ลูกค้ารายอื่นได้ ขั้นตอนนี้สามารถดำเนินการให้สำเร็จได้โดยนักพัฒนาแอป ซึ่งสามารถระบุข้อมูลเฉพาะแอปพลิเคชัน (applicationData) บนคำขอชำระเงินได้ แฮชของข้อมูลนี้จะถูกรวมอยู่ในข้อมูลการชำระเงินที่เข้ารหัส จากนั้นผู้ประกอบการจะเป็นผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบยืนยันว่าแฮช applicationData ของตนตรงกับข้อมูลที่รวมอยู่ในข้อมูลการชำระเงิน
การชำระเงินด้วยบัตรในเว็บไซต์
Apple Pay สามารถใช้เพื่อชำระเงินที่เว็บไซต์ได้โดยใช้รายการต่อไปนี้:
- อุปกรณ์ที่ใช้การตรวจสอบสิทธิ์ด้วยมิติทางกายภาพ 
- Apple Watch 
- คอมพิวเตอร์ Mac ที่มี Apple Silicon ที่ใช้ Magic Keyboard ที่มี Touch ID 
ธุรกรรม Apple Pay ยังสามารถเริ่มต้นได้บน Mac แล้วทำให้เสร็จสมบูรณ์บน iPhone หรือ Apple Watch ที่สามารถใช้งาน Apple Pay ได้ ซึ่งใช้บัญชี iCloud เดียวกันได้อีกด้วย ถ้าผู้ใช้จะส่งต่อข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินด้วยวิธีนี้ คุณสมบัติ Handoff ของ Apple Pay จะใช้โปรโตคอลบริการข้อมูลประจำตัว (IDS) ของ Apple ที่เข้ารหัสแบบต้นทางถึงปลายทางเพื่อส่งข้อมูลเกี่ยวกับการชำระเงินระหว่าง Mac ของผู้ใช้และอุปกรณ์ที่ให้อนุญาต ลูกข่าย IDS บน Mac ใช้กุญแจอุปกรณ์ของผู้ใช้ในการเข้ารหัส เพื่อทำให้อุปกรณ์อื่นๆ ไม่สามารถถอดรหัสข้อมูลนี้ได้ Apple จะไม่มีกุญแจเหล่านี้
การค้นหาอุปกรณ์สำหรับ Handoff สำหรับ Apple Pay จะมีประเภทและข้อมูลจำเพาะที่ไม่ซ้ำกันของบัตรเครดิตของผู้ใช้ รวมไปถึงเมตาดาต้าบางส่วน หมายเลขบัญชีอุปกรณ์ของบัตรของผู้ใช้จะไม่ถูกแชร์ และจะยังคงถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัยต่อไปบน iPhone หรือ Apple Watch ของผู้ใช้ Apple ยังถ่ายโอนที่อยู่สำหรับติดต่อ ที่อยู่จัดส่ง และที่อยู่เรียกเก็บเงินที่ใช้ล่าสุดของผู้ใช้อย่างปลอดภัยผ่านพวงกุญแจ iCloud อีกด้วย
หลังจากผู้ใช้อนุญาตการชำระเงิน โทเค็นการชำระเงินที่เข้ารหัสไม่ซ้ำกันไปยังใบรับรองแต่ละเว็บไซต์ของผู้จำหน่ายจะถูกส่งอย่างปลอดภัยจาก iPhone หรือ Apple Watch ของผู้ใช้ไปยัง Mac ของพวกเขา จากนั้นส่งต่อไปที่เว็บไซต์ของผู้จำหน่าย
หมายเหตุ: เฉพาะอุปกรณ์ที่อยู่ในระยะใกล้เคียงกันเท่านั้นที่สามารถกำหนดให้การชำระเงินเสร็จสมบูรณ์ได้ ระยะใกล้จะกำหนดโดยประกาศผ่าน Bluetooth® พลังงานต่ำ (BLE)
Apple Pay บนเว็บยังกำหนดให้เว็บไซต์ที่เข้าร่วมทั้งหมดลงทะเบียนกับ Apple อีกด้วย หลังจากลงทะเบียนโดเมนแล้ว การตรวจสอบความถูกต้องของชื่อโดเมนจะดำเนินการหลังจากที่ Apple ออกใบรับรองสำหรับลูกข่าย TLS แล้วเท่านั้น เว็บไซต์ที่รองรับ Apple Pay จะต้อง:
- ให้บริการเนื้อหาผ่าน HTTPS 
- รับเซสชั่นผู้ประกอบการที่ปลอดภัยและไม่ซ้ำกัน (สำหรับรายการธุรกรรมการชำระเงินแต่ละรายการ) ด้วยเซิร์ฟเวอร์ของ Apple โดยใช้ใบรับรองสำหรับลูกข่าย TLS ที่ Apple ออกให้ 
ข้อมูลเซสชั่นของผู้ประกอบการจะลงชื่อโดย Apple หลังจากลายเซ็นเซสชั่นของผู้ประกอบการได้รับการตรวจสอบยืนยันแล้ว เว็บไซต์อาจสอบถามว่าผู้ใช้มีอุปกรณ์ที่สามารถใช้ Apple Pay ได้หรือไม่ และอุปกรณ์ของผู้ใช้มีบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตรเติมเงินที่เปิดใช้งานบนอุปกรณ์นั้นอยู่หรือไม่ รายละเอียดอื่นจะไม่ถูกแชร์ ถ้าผู้ใช้ไม่ต้องการแชร์ข้อมูลนี้ ผู้ใช้สามารถปิดใช้งานคำขอ Apple Pay ในการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของ Safari บนอุปกรณ์ iPhone, iPad และ Mac ได้
ถ้าเว็บไซต์ใช้ Apple Pay JS SDK เวอร์ชั่นล่าสุด รายการธุรกรรม Apple Pay จะสามารถเริ่มต้นโดยใช้เว็บเบราว์เซอร์ของบริษัทอื่นบนระบบปฏิบัติการใดก็ได้ และจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นบน iPhone หรือ iPad ที่สามารถใช้งาน Apple Pay ได้ และใช้ iOS 18 หรือ iPadOS 18 ขึ้นไป ในการทำให้การดำเนินการนี้เกิดขึ้น รหัสจะต้องถูกสแกนโดยใช้กล้องของอุปกรณ์เพื่อสร้างการเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ เมื่อเว็บไซต์แสดงรหัสนี้ การเชื่อมต่อ WebSocket ที่ปลอดภัยจะถูกสร้างขึ้นระหว่างเว็บไซต์และเซิร์ฟเวอร์ของ Apple เมื่อสแกนรหัสนี้แล้ว การเชื่อมต่อ WebSocket ที่ปลอดภัยแบบแยกต่างหากเพิ่มเติมจะถูกสร้างขึ้นระหว่างอุปกรณ์ที่สามารถใช้งาน Apple Pay ได้และเซิร์ฟเวอร์ของ Apple การดำเนินการนี้จะทำให้การเชื่อมต่อแบบสองทิศทางที่จำเป็นระหว่างเว็บไซต์และอุปกรณ์ที่สามารถใช้งาน Apple Pay ได้เสร็จสมบูรณ์ โดยใช้เซิร์ฟเวอร์ของ Apple เป็นตัวส่งต่อ การสื่อสารระหว่างสองฝ่ายจะเป็นไปตามกระบวนการปกติสำหรับรายการธุรกรรมบนเว็บของ Apple Pay
หลังจากตรวจสอบความถูกต้องของเซสชั่นผู้ประกอบการแล้ว มาตรการความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยทั้งหมดจะเหมือนกับกรณีที่ผู้ใช้ชำระเงินภายในแอป
การชำระเงินอัตโนมัติและโทเค็นผู้ประกอบการ
อุปกรณ์ที่ใช้ iOS 16, iPadOS 16 หรือ macOS 13 ขึ้นไป สามารถใช้โทเค็นผู้ประกอบการ Apple Pay ได้ ซึ่งจะรับรองการชำระเงินที่ปลอดภัยผ่านอุปกรณ์ของผู้ใช้ แผ่นงานการชำระเงิน Apple Pay ที่อัปเดตจะเพิ่มประสิทธิภาพการชำระเงินที่อนุญาตไว้ล่วงหน้าให้เหมาะสมอีกด้วย Apple Pay API ยังรองรับรายการธุรกรรมประเภทใหม่ ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถกำหนดแผ่นงานการชำระเงินเอเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานที่เฉพาะเจาะจงได้ เช่น การสมัครรับ การชำระบิลที่ต้องชำระประจำ การผ่อนชำระ และการโหลดยอดคงเหลือในบัตรอีกครั้งโดยอัตโนมัติ
โทเค็นผู้ประกอบการไม่ได้จำเพาะอยู่กับอุปกรณ์ ดังนั้นการชำระเงินตามระยะเวลาที่กำหนดจึงจะยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหากผู้ใช้เอาบัตรชำระเงินออกจากอุปกรณ์
การชำระเงินให้กับผู้ประกอบการหลายราย
ใน iOS 16 ขึ้นไป Apple Pay มีความสามารถในการระบุจำนวนการซื้อที่เฉพาะเจาะจงสำหรับผู้ประกอบการหลายรายภายในหนึ่งแผ่นงานการชำระเงิน Apple Pay ซึ่งให้ความยืดหยุ่นสำหรับลูกค้าในการซื้อสินค้าแบบรวมชุด เช่น แพ็คเกจการเดินทางพร้อมตั๋วเครื่องบิน รถเช่า และโรงแรม จากนั้นจึงส่งการชำระเงินให้กับผู้ประกอบการแต่ละราย